ยูเอฟโอ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<<<<<<< CREDIT
วัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ (อังกฤษ: unidentified flying object) หรือย่อว่า วบ.ม.อ.(UFO) หรือมักเรียกว่า ยูเอฟโอ หรือ ยูโฟ เป็นศัพท์ทางวิทยาศาสตร์การทหาร บัญญัติโดยกองทัพอากาศสหรัฐ หมายถึง วัตถุบินที่มีอยู่จริงหรือสังเกตเห็นได้ แต่ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นอะไร ทั้งโดยผู้สังเกตการณ์และผู้สืบสวนสอบสวน
วบกอมจำนวนมาก แม้ได้รับการระบุเป็นวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์เมื่อแรกสังเกตพบหรือเมื่อตรวจสอบแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบอีกครั้งด้วยวิธีที่ดีกว่าหรือด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น กลับระบุได้ว่าเป็น วัตถุบินสามารถระบุเอกลักษณ์ (อังกฤษ: identified flying object หรือ IFO) บางกรณีอาจเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ และบางกรณีอาจเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งโดยไม่ตั้งใจให้เข้าใจผิดหรือตั้งใจปลอมให้เข้าใจผิด
คำศัพท์อื่นที่เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ จานบิน บัญญัติโดย เคนเนธ อาร์โนลด์ ซึ่งอ้างถึงวัตถุบินลึกลับที่เขาพบขณะขับเครื่องบินส่วนตัวบนท้องฟ้าเมื่อ พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) ว่า "... เคลื่อนไหวคล้ายจานรองถ้วยที่นำไปร่อนไปบนผิวน้ำ ..."
เนื่องจากเป็น วัตถุไม่เกิดเองตามธรรมชาติ ที่ลักษณะปรากฏไม่สอดคล้องกับสิ่งประดิษฐ์ใดของมนุษยชาติ จึงมักเชื่อมโยงและเชื่อว่า ยูเอฟโอ เป็นเครื่องมือ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นยานพาหนะ ของมนุษย์ต่างดาว ที่ใช้เดินทางมายังโลก เพราะจุดประสงค์ที่ไม่สามารถชี้ชัดได้
อย่างไรก็ตาม มักเข้าใจผิดว่ายูเอฟโอทั้งหมด หมายถึง จานบิน (ของมนุษย์ต่างดาว) แต่แท้จริงแล้ว ยูเอฟโอบางส่วนอาจไม่เข้าข่ายจานบิน เพราะอาจระบุได้ภายหลังว่าเป็นวัตถุบินสามารถระบุเอกลักษณ์ เช่น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ฯลฯ
รายงานและหลักฐานการพบเห็นหรือเผชิญหน้ากับยูเอฟโอหรือปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ มีตั้งแต่ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หลายแห่งทั่วโลก แม้แต่ในประเทศไทย แต่รายงานในสมัยใหม่เริ่มเผยแพร่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยลูกเรือเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรพบเห็นวัตถุบินที่เรียกกันภายหลังว่า ฟูไฟเตอร์ (foo fighter) เมื่อ พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) หรือ การพบเห็นจรวดผี (ghost rocket) โดยมหาชน หลังจากการเปิดเผยที่ในวงกว้างครั้งแรก ในสหรัฐอเมริกา โดย เคนเนท อาร์โนลด์ เมื่อกลาง พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) รายงานการพบเห็นทั่วไปมีมากขึ้น รายงานนับหมื่น ทั้งเรื่องจริง เข้าใจผิด และเรื่องแต่ง เกิดขึ้นทั่วโลก
สำหรับในประเทศไทย คำเรียกอื่นในภาษาไทยได้แก่ จานผี และวบกอม ทั้งสองคำเกิดในสมัยที่ยูเอฟโอเริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. 2530 คำว่า จานผี เป็นคำอธิบายลักษณะที่ปรากฏ ส่วนคำว่า วบกอม ใช้ในนิตยสารวิทยาศาสตร์ไทยหลายเล่ม เช่น นิตยสารชัยพฤกษ์ ที่แพร่หลายในช่วงนั้น และปัจจุบันมีการใช้น้อย
ตั้งแต่คำนี้เผยแพร่ก็ถูกโยงให้เกี่ยวข้องอย่างมากกับจานบินและยานอวกาศต่างดาว แม้ว่าวัตถุบินลึกลับอาจจัดจำแนกเป็นยูเอฟโอได้ตามลักษณะที่ปรากฏโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว การสืบสวนยูเอฟโอทางการทหารและพลเรือนส่วนใหญ่สรุปว่า วัตถุบินจำนวนมากสามารถระบุเอกลักษณ์ได้ ทั้งโดยตรงและโดยหลักการของออคแคม[1]
เหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับยูเอฟโอที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด เกิดเมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 โดยวัตถุที่เชื่อว่าเป็นยูเอฟโอ ตกกระแทกพื้นเสียหายที่ทะเลทรายในเมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา มีพยานพบเห็นและหลักฐานภาพถ่ายและวิดีโอที่อ้างว่าเกี่ยวข้องถูกเผยแพร่มาก แต่ทางกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาอ้างว่าเป็นบัลลูนตรวจอากาศ ซึ่งคนจำนวนมากไม่เชื่อและก่อให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดหลายแนวคิด
เดจาวู
Dejavu มาจากคำว่า déjà vu ซึ่งเป็นคำภาษาฝรั่งเศส ถ้าแปลตามตัวก็จะแปลว่า เคยเห็น/เคยรู้สึกมาแล้ว เป็นคำอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตและความรู้สึกของมนุษย์ ที่คนๆ นึง เมื่อมาอยู่ในสถานหรืออยู่ในเหตุการณ์นึงเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่กลับรู้สึกคุ้นกับเหตุการณ์นี้มาก คล้ายกับว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝัน!!
ความรู้สึกนี้จะแตกต่างจากลางสังหรณ์ อยู่นิดหน่อย พูดง่ายๆ ก็คือ ลางสังหรณ์เราจะรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น(มีทั้งลางดีและไม่ดี) ซึ่งถ้าเป็นลางไม่ดี เราก็จะหาทางแก้ไขได้ เช่น ฝันว่าเพื่อนกำลังข้ามถนนเข้าโรงเรียน จู่ๆ ก็มีรถสีขาวขับมาด้วยความเร็วสูงขับชน พอมาเจอสถานการณ์จริงๆ เหมือนในฝัน เราเห็นรถสีขาวขับมาอย่างเร็ว เราจะคุ้นมันมาก เราก็จะห้ามเพื่อนได้ว่าอย่าเพิ่งข้าม เพราะเรารู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นจึงเตือน เพื่อนก็จะรอดจากรถชน
ส่วนเดจาวูเราจะตรงกันข้ามตรงที่ เราอยู่ในเหตุการณ์หนึ่ง แต่เรากลับสะดุ้งโหยง เพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบ ทั้งคน สถานที่ สิ่งของ เหมือนกันหมด ซึ่งบางครั้งก็สามารถคาดเดาอนาคตต่อไปได้ด้วย แต่ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นแป๊บเดียว ประมาณ 5-10 วินาที แล้วก็หายไปให้เรางงเล่นๆ ซึ่งจากการสำรวจจากต่างประเทศ พบว่าจะเกิดขึ้นในช่วงอายุ 15 - 25 ปี
ซึ่งจุดสำคัญของเดจาวู ก็คือ เรื่องที่เรารู้สึกว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน แต่กลับมีรายละเอียดที่ไม่น่าเชื่อมาเชื่อมโยงกัน เช่น จำได้ว่าเหตุการณ์มีใคร กำลังทำอะไรอยู่บ้าง อยู่ตรงไหน ซึ่งจำได้แม้กระทั่งคำพูดหรือการแสดงออกของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น เช่น กำลังนั่งกินข้าวกับเพื่อนที่ห้างหลังเรียนพิเศษและกำลังวิจารณ์อาหารร้านนั้นอย่างเมามันส์ว่า ร้านนี้อาหารไม่อร่อยเลย จังหวะนั้นอยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกว่า เอ๊ะ! เหตุการณ์นี้คุ้นๆ แฮะ เหมือนเราเคยมานั่งร้านนี้ กับเพื่อนกลุ่มนี้ มากินที่ห้างนี้ ตอนหลังเลิกเรียนและกำลังพูดวิจารณ์รสชาติอาหารนี้อยู่ด้วย โอ้ว..อัศจรรย์มากๆ แต่มันน่าอัศจรรย์กว่านั้นตรงที่ว่าเราเคยมากินร้านนี้ครั้งแรก!!
ปรากฏการณ์ผีอำ หรือ sleep parasist
อาการผีอำ เป็นอาการที่ขยับตัวทำอะไรไม่ได้ซักอย่างตอนนอน รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับ ทำให้หายใจไม่ออก หรือ หายใจติดขัด อาจจะลืมตาไม่ขึ้น อ้าปากพูดไม่ได้ เรียกได้ว่า ทรมานสุดๆบางคนอาการหนักหน่อยก็เห็นภาพหลอนเป็นเงาบ้าง เป็นคนบ้าง ก็ว่ากันไป ทำให้เกิดอาการกลัว ความกลัวเหล่านี้นี่แหละ ทำให้เราจินตนาการไปว่าเป็นเรื่องที่หาเหตุผลมารองรับ ไม่ได้ จึงโบ้ยให้เป็นความผิดของผีไปเกือบหมด บางคนสวดมนต์อาการเหล่านี้ก็หายไป ยิ่งตอกย้ำความเชื่อเรื่องผีอำเข้าไปอีก แต่ความเป็นจริง ทางวิทยาศาสตร์ก็มีเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์นี้เหมือนกัน
"ผีอำ" หรือโรค sleep paralysis ทางการแพทย์อธิบายว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจาก สมองตื่นไม่พร้อมกัน คือ สมองที่ควบคุมในส่วนความคิด ความรู้สึกนั้นตื่นแล้ว (อาจจะตื่นไม่เต็มที่ ) แต่ในส่วนของการควบคุมการเคลื่อนไหวยังไม่ทำงาน จึงขยับตัวไม่ได้ เช่น เวลาเราตื่น โดยทั่วไปก็จะพลิกตัว แต่เผอิญร่างกายโดนล็อคซะงั้น เพราะสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวยังไม่ตื่นนั่นเอง ก็อาจจะมีการตกใจกลัวเป็นธรรมดา ซึ่งอาการนี้จะเกิดขึ้นในระหว่างใกล้ตื่นนอนหรือช่วงเคลิ้มหลับค่ะ
ถ้าพูดถึงอาการสมองตื่นไม่พร้อมกัน ฟังดูน่ากลัวแบบนี้ แต่ขอบอกว่าไม่เป็นอันตรายอะไรทั้งนั้นค่ะ ตามที่ได้บอกไปแล้วว่าอาจจะแค่ขยับตัวไม่ได้ เพียงแค่นาทีเดียวหรือไม่กี่นาทีก็จะหายไป ไม่ถึงตายแน่นอน ฮ่าๆ แต่ช่วงที่ขยับตัวไม่ได้นี่แหละที่ทรมานสุดๆ ก็เลยรู้สึกว่าช่างเป็นอาการที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน
นอกจากนี้ยังเป็นอาการที่อาจจะสัมพันธ์กับความฝันด้วย โดยเกิดจากฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกายที่ออกมาในขณะที่นอนหลับ ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ในขณะฝัน เพื่อไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหวตามความฝันอันจะเป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น ฝันว่าวิ่งอยู่ก็ไม่ต้องออกไปวิ่ง ฝันว่าเอามีดแทงตัวเองก็ไม่ต้องเอามีดแทงตัวเอง เป็นต้น โดยฮอร์โมนนี้จะหมดไปก่อนที่ฝันจะจบ แต่คนที่เกิดอาการผีอำ ก็เพราะว่า ดันตื่นขึ้นมาก่อนฝันจะจบ ฮอร์โมนนั้นก็ยังคงทำงานบังคับไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหว แต่สมองการรับรู้ตื่นแล้ว จึงขยับร่างกายไม่ได้ ซึ่ง ณ จุดๆ นี้ ถ้าเราฝันร้ายว่าเจอผี หรือเจออะไรน่ากลัวๆ แล้วดันตื่นขึ้นมาในขณะที่ฮอร์โมนทำงานล่ะก็ สติกระเจิงแน่นอน เพราะขยับตัวจะหนีก็หนีไม่ได้ จากแค่ฝันก็เลยมาหลอนในความจริงซะนี่
อาการผีอำ อาจมีอาการประสาทสัมผัสหลอนๆ ร่วมด้วย (ไม่ได้เกิดขึ้นทุกคน) ซึ่งขอบอกว่าหลอนจริงๆ ค่ะ เช่น อาจจะให้ความรู้สึกเหมือนมีคนมานั่งทับ ถูกจับขา อาจได้ยินเสียงคนหายใจ เสียงกระซิบ เสียงหึหึ(แค่จินตนาการถึงเสียงนี้ ก็เฮี้ยนแล้ว) หรือ ถ้าทางการมองเห็น ก็อาจจะมองเห็นเงาคน หรือ เห็นเป็นเงารางๆ เหมือนหมอกควัน นอกจากนี้ประสาท สัมผัสทางการได้กลิ่นก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ได้กลิ่นเหม็นสาป ทำนองนี้ แหม... ประสาทสัมผัสทำงานครบแบบนี้ เกิดขึ้นกับใครก็คงเข็ดขยาดหวาดกลัว เป็นประสบการณ์ร้ายๆ แน่นอน
สำหรับสาเหตุของอาการผีอำ อาจเกิดจากหลายๆ ปัจจัย เช่น นอนในท่านอนหงาย (ไม่เคยเห็นคนโดนผีอำตอนนอนตะแคงเลย), พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือ นอนหลับในขณะที่ร่างกายเพลีย หรือเมื่อยล้าแบบสุดๆ การเข้านอนไม่เป็นเวลา, เครียด หรือเกิดสภาวะทางจิตอื่นๆ เช่น โกรธ เสียใจ คิดมากก่อนนอน ฯลฯ หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น